ประโยชน์ของอาหารออแกนิค

ในปัจจุบันคนเรามีความเสี่ยงต่อการได้รับสารเคมีต่าง ๆ มากกว่า 15,000 ชนิด ที่มาจากอาหาร น้ำดื่ม อากาศ และสิ่งแวดล้อม ด้วยพิษภัยของสารพิษที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารและสิ่งแวดล้อมรอบตัว ทำให้ร่างกายของเราสะสมสารพิษ และส่งผลให้เกิดภาวะเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่นที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันพบว่าสิ่งแวดล้อมมีผลต่อสุขภาพอย่างเห็นได้ชัดเจน ซึ่งดูได้จากอัตราของการเกิดโรคและมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับเมื่อ 20 ปีก่อนที่ผ่านมา เพราะเด็กชาวอเมริกันทุกวันนี้จะเป็นโรคมะเร็ง หอบหืด และโรคออทิสติกกันมากขึ้น โดยอัตราส่วนของเด็กที่เป็นออทิสติกนั้นเพิ่มขึ้นจากเดิม 1 : 2,000 คน เป็น 1 : 66 คน ด้วยเหตุผลนี้เอง อาหารออแกนิคจึงกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของคนรักสุขภาพ เพราะเป็นอาหารที่มาจากธรรมชาติอย่างแท้จริง
อาหารออแกนิค หรือ อาหารออร์แกนิค หรือ อาหารออร์แกนิก (Oranic Food) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “อาหารเกษตรอินทรีย์” หรือ “อาหารอินทรีย์” คือ อาหารที่ผ่านการผลิตทางการเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมี หรือวัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น (รวมไปถึงเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ตัดต่อทางพันธุกรรม) กระบวนการผลิตไม่มีการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช ก่อนการปลูกจะต้องเตรียมหน้าดินก่อนด้วยวิธีธรรมชาติ ทุกขั้นตอนการผลิตจะไร้สารปนเปื้อนที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมหรือมนุษย์ จะไม่ผ่านการฉายรังสี ไม่เพิ่มเติมสิ่งปรุงแต่งลงไปในอาหาร ถ้าเป็นอาหารที่มาจากการทำปสุสัตว์ก็จะต้องไม่มีการใช้สารปฏิชีวภาพ ไม่ใช้สารเร่งฮอร์โมน และต้องเลี้ยงสัตว์ด้วยอาหารที่มีสุขอนามัย
ในปัจจุบันสินค้าออแกนิค หรือผลิตภัณฑ์ออแกนิค จะถูกแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ตามสัดส่วนของส่วนผสมและวัตถุดิบที่เกิดจากการเพาะปลูกด้วยกระบวนการออแกนิค ตั้งแต่ 75-100% โดยการควบคุมและการตรวจสอบมาตรฐานของหน่วยงานที่ได้รับการยอมรับ นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาของผลิตภัณฑ์ออแกนิคมีราคาสูงกว่าทั่วไป เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตที่สูงและมีข้อจำกัดในด้านการควบคุมคุณภาพ

อาหารออแกนิค คืออะไร?

  1. ส่วนประกอบทุกอย่างล้วนมากจากธรรมชาติ โดยอาหารอาหารออแกนิคจะไม่มีการใช้สารสังเคราะห์ใด ๆ ในการเพาะเลี้ยงหรือการเพาะปลูกเลย ไม่ว่าจะเป็นผักหรือเนื้อสัตว์ก็จะถูกเลี้ยงและเจริญเติบโตมาด้วยอาหารจากธรรมชาติล้วน ๆ ถ้าเป็นสัตว์ก็จะเลี้ยงแบบปล่อยอิสระ ไม่มีการขุนหรือให้อาหารสังเคราะห์ใด ๆ เพื่อให้สัตว์โตเร็วแบบที่นิยมทำกันในอุตสาหกรรมใหญ่ ส่วนผักก็จะเป็นการปลูกบนดินแบบบ้าน ๆ ไม่ใส่วัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง ใช้แต่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกจากธรรมชาติในการเพาะปลูก ส่วนเมล็ดพันธุ์ที่นำมาเพาะปลูกจะต้องไม่มีตัดต่อพันธุกรรม และต้องมีการเตรียมหน้าดินก่อนการเพาะปลูกด้วยวิธีธรรมชาติ คือ จะต้องทำให้ปลอดสารพิษไม่น้อยกว่า 3 ปี เหล่านี้จึงเรียกได้ว่าเป็นการสร้างอาหารแบบธรรมชาติอย่างแท้จริง 100% มีกลิ่นหอมตามแบบธรรมชาติ ทุกขั้นตอนในการปลูกและการแปรรูปจะต้องอยู่ในมาตรฐานที่ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ส่วนประกอบทุกอย่างจึงสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสารพิษตกค้างหรือสารก่อมะเร็ง
  2. อาหารอาหารออแกนิคจะไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ เลย ส่วนประกอบทุกอย่างจะต้องมาจากธรรมชาติ เพราะถ้ามีการใช้สารเคมีก็จะไม่ถือว่าเป็นอาหารออแกนิค ซึ่งการไม่ใช้สารเคมีที่ว่านั้นหมายถึง การไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี สารกระตุ้น หรือสารเร่งการเจริญเติบโตกับสัตว์ แต่ก็มีบางเจ้าในที่ใช้สารเคมีเพียงเล็กน้อยเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งอาจจะเรียกว่า “95% ออแกนิค” หรือกี่เปอร์เซ็นต์ก็ว่ากันไป แต่ถ้าต่ำกว่า 70% จะไม่ถือว่าเป็นอาหารออแกนิคครับ ส่วนผักไฮโดรโปนิกส์และผักปลอดสารพิษก็ไม่ถือว่าเป็นออแกนิคครับ เพราะผักปลอดสารพิษ คือ ผักที่ไม่ได้ปลอดการใช้สารเคมีหรือยาฆ่าแมลงในระหว่างการเพาะปลูก แต่เป็นผักที่ปลอดสารพิษในช่วงตอนเก็บเกี่ยว ส่วนผักไฮโดรโปนิกส์ คือ ผักไร้ดิน ผักประเภทนี้ยังมีความจำเป็นต้องพึ่งสารเคมีอยู่ เพราะผักไร้ดินจะไม่มีดินที่เป็นตัวสะสมธาตุอาหาร แต่จะเปลี่ยนจากดินเป็นน้ำให้เป็นตัวสะสมธาตุอาหารแทน
  3. ไม่ก่อให้เกิดมลพิษในกระบวนการผลิต เพราะอาหารออแกนิคนั้น นอกจากจะมุ้งเน้นให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีแล้ว จุดประสงค์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการช่วยลดมลพิษให้กับธรรมชาติ เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการใช้สารเคมีต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี หรือสารเร่งการเจริญเติบโตต่าง ๆ นั้นจะก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในดิน ในน้ำ และในอากาศ ซึ่งกว่าจะย่อยสลายไปได้บางทีก็อาจใช้ระยะเวลาเป็นสิบ ๆ ปี ซึ่งวิธีการปลูกแบบธรรมชาตินี้เองจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยฟื้นฟูธรรมชาติที่เสียไป เพราะนอกจากจะได้รับประทานอาหารที่ปลอดสารพิษแล้ว ยังช่วยลดมลพิษต่าง ๆ ได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม อาหารออแกนิคก็มิใช่อาหารที่สะอาดบริสุทธิ์ปราศจากสิ่งเจือปนหรือสิ่งแปลกปลอมใด ๆ หากแต่มีสารเจือปนที่เป็นธรรมชาติ อย่างแบคทีเรียที่ไม่ใช่สารแปลกปลอมที่เกิดจากการสังเคราะห์ของมนุษย์ แต่เป็นสิ่งแปลกปลอมทางธรรมชาติที่จะช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายทำงานได้ตามปกติ สร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย รวมไปถึงแบคทีเรียบางประเภทที่ช่วยทำให้ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายเป็นไปอย่างสมดุล

ประโยชน์ของอาหารออแกนิค

  1. การรับประทานอาหารออแกนิค นอกจากจะช่วยต้านโรคต่าง ๆ เช่น มะเร็ง ภูมิแพ้ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองแล้ว ยังทำทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ดีในปริมาณที่สูงกว่าอาหารทั่วไป เนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการยังคงความสมบูรณ์ และมีความสดได้นานกว่าอาหารทั่วไป
  2. หากรับประทานอาหารอาหารออแกนิคตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคทั้งหลาย เช่น หอบหืด ออทิสติก ภูมิต้านทานบกพร่อง โรคมะเร็ง ที่จะเกิดขึ้นกับลูกน้อยก็จะลดลงและยังช่วยทำให้คุณแม่มีสุขภาพที่แรงอีกด้วย
  3. อาหารออแกนิคจะมีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าอาหารทั่วไป โดยพืชผักที่ปลูกโดยวิธีออแกนิคจะมีวิตามินซีสูงกว่าพืชที่ปลูกทั่วไปถึง 27% มีธาตุเหล็กมากกว่า 21% และมีแมงกานีสมากถึง 29% เลยทีเดียว (ผลการวิจัยโดย The Soil Association ประเทศอังกฤษ) นอกจากนี้ยังมีการวิเคราะห์และเปรียบเทียบคุณค่าทางโภชนาการระหว่างอาหารออแกนิคกับอาหารในซุปเปอร์มาเก็ตทั่วไป (ทดสอบโดยการเลือกใช้ แอปเปิ้ล, ลูกแพร์, มันฝรั่ง, ข้าวโพด, ข้าวสาลี) และพบว่าปริมาณของแร่ธาตุในอาหารออแกนิคจะมีมากกว่าอาหารทั่วไปดังนี้ มีแคลเซียมมากกว่า 63%, ธาตุเหล็กมากกว่า 73%, ฟอสฟอรัสมากกว่า 91%, โพแทสเซียมมากกว่า 125%, แมกนีเซียมมากกว่า 118%, โมลิบดีนัมมากกว่า 178%, สังกะสีมากกว่า 60%, โครเมียมมากกว่า 78% และยังพบว่าสารปรอทซึ่งเป็นสารพิษที่พบได้ในอาหารทั่วไปจะมีปริมาณที่ค่อนข้างสูง แต่กลับพบในอาหารออแกนิคน้อยกว่าอาหารทั่วไปถึง 29% ส่วนงานวิจัยของสมิธ-สแปงเกลอร์ และคณะผู้วิจัย ได้ทบทวนผลการศึกษากว่า 230 ฉบับ ซึ่งเปรียบเทียบสุขภาพของคนที่รับประทานอาหารแอแกนิคกับคนที่รับประทานอาหารทั่วไป ซึ่งทีมนักวิจัยได้พบว่าปริมาณของวิตามินในผลิตภัณฑ์ออแกนิคแทบไม่มีความแตกต่างกัน ยกเว้นฟอสฟอรัสที่อาหารออแกนิคจะมีปริมาณมากกว่าเพียงน้อย ส่วนสารอาหารในกลุ่มโปรตีนและไขมันในนม พบว่า ไม่ว่าจะเป็นนมออแกนิคหรือนมทั่วไปก็มีปริมาณของโปรตีนและไขมันไม่ต่างกัน แต่ในบางการศึกษาก็ระบุว่าในนมออแกนิคจะมีกรดไขมันโอเมก้า3 มากกว่า แต่เนื่องอยากยังมีหลักฐานการศึกษาที่น้อยมาก จึงทำให้ไม่สามารถยืนยันได้ชัดเจน
  4. อาหารออแกนิคจำพวกผักและผลไม้ จะมีความเสี่ยงจากยาฆ่าแมลงต่ำกว่าร้อย 30 เมื่อเปรียบเทียบกับพืชผักและผลไม้ทั่วไป ในขณะที่หมูและไก่อินทรีย์นั้นจะมีสารต้านแบคทีเรียน้อยกว่าเนื้อสัตว์ทั่วไป 33% แต่อย่างไรก็ตามเราก็อย่าลืมว่าปริมาณของสารที่ตกค้างซึ่งเกิดจากการใช้สารเคมีหรือยาฆ่าแมลงในสินค้าบางชนิดนั้นยังมีค่าเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ฉะนั้นก่อนจะนำผัก ผลไม้ หรือเนื้อสัตว์มารับประทาน ควรจะล้างให้สะอาดเสียก่อน ไม่ว่าอาหารนั้นจะเป็นอาหารออแกนิคหรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคนั่นเอง
  5. อาหารออแกนิคผลิตมาจากกระบวนการผลิตเกษตรอินทรีย์ ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ในความปลอดภัยจากการใช้สารเคมีที่เป็นอันตราย ทั้งยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง สารป้องกันเชื้อรา หรือแม้แต่ปุ๋ยเคมี
  6. อาหารออแกนิคมีรสชาติที่ดีกว่า มีความเป็นธรรมชาติมากกว่าอาหารที่ผลิตจากระบบเกษตรทั่วไปที่มีการใช้สารต่าง ๆ หรือแม้แต่ในด้านการแปรรูป อาหารออแกนิคก็จะผ่านการแปรรูปน้อยกว่า ทั้งนี้ก็เพื่อคงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
  7. สัตว์ที่เลี้ยงในระบบเกษตรอินทรีย์จะไม่มีการใช้ยาปฏิชีวนะหรือสารเร่งการเจริญเติบโต แม้กระทั่งอาหารที่ใช้ในการเลี้ยงก็จะต้องเป็นอาหารสัตว์ออแกนิค ที่ผลิตจากกระบวนการเกษตรอินทรีย์ โดยไม่มีการใช้สารปรุงแต่ง เช่น สีผสมอาหาร สารกัดบูด จึงทำให้ผลผลิตต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนม ไข่ เนื้อสัตว์ จะไม่มีสารสังเคราะห์ที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้
  8. ในการผลิตอาหารออแกนิคแปรรูป จะมีข้อกำหนดห้ามใช้สารเคมีสังเคราะห์ที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นสารให้สี สารกันบูด สารแต่งกลิ่นและรส รวมไปถึงกรรมวิธีการแปรรูปก็ต้องเป็นวิธีที่ปลอดภัย ห้ามใช้วิธีการที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค เช่น การฉายรังสี การฟอกสีให้ขาว การหมักโดยใช้สารเร่ง เป็นต้น
  9. เกษตรกรผู้ปลูกจะมีสุขภาพอนามัยที่ดีขึ้น ปลอดภัยจากสารเคมี เพราะในระบบเกษตรอินทรีย์จะไม่มีการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายใด ๆ เลย
  10. ในระบบเกษตรอินทรีย์ การเลี้ยงสัตว์ ทั้งปศุสัตว์ สัตว์น้ำ และสัตว์ปีก จะให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพและสวัสดิการของสัตว์ ให้ความธรรมชาติแก่สัตว์เลี้ยง ไม่กักขังสัตว์ให้อยู่กันอย่างแออัด ไม่กุดอวัยวะหรือทำการทรมานสัตว์ ไม่เร่งการเจริญเติบโตของสัตว์เลี้ยงด้วยวิธีใด ๆ และดูแลสภาพความเป็นอยู่ของสัตว์โดยพิจารณาจากธรรมชาติของสัตว์ จึงทำให้สัตว์เลี้ยงมีสุขภาพอนามัยที่ดี เจริญเติบโตอย่างเป็นธรรมชาติ และมีความเป็นอยู่ที่สมควรแก่อัตภาพ
  11. หลักการสำคัญอย่างหนึ่งของเกษตรอินทรีย์ก็คือ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะเรื่องของดิน น้ำ และอากาศ เกษตรกรต้องจะทำให้ทรัพยากรดินและน้ำได้รับการอนุรักษ์และฟื้นฟู
  12. ช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ เนื่องจากไม่มีการใช้สารเคมีต่าง ๆ จึงทำให้ฟาร์มเกษตรอินทรีย์มีพืชและสัตว์ต่าง ๆ อยู่หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นพืชพรรณพื้นบ้านต่าง ๆ ที่สามารถนำใช้เป็นอาหารหรือยาได้ รวมไปถึงสัตว์ต่าง ๆ ทั้งที่อยู่ใต้ดินและอยู่บนดินหรือตามต้นไม้ต่าง ๆ เช่น นก ปลา แมลง ไส้เดือน เป็นต้น แม้ว่าส่วนหนึ่งของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อาจเป็นศัตรูพืช แต่ก็มีสัตว์ที่คอยควบคุมแมลงศัตรูพืชเหล่านี้อยู่เช่นกัน เช่น กบ กิ้งก่า แมงมุม เป็นต้น ด้วยความหลากหลายนี้เองจึงทำให้ฟาร์มออแกนิคมีเสถียรภาพจากการรบกวนของโรคและแมลงศัตรูพืช เพราะธรรมชาติจะควบคุมกันเอง
  13. การผลิต การขนส่ง และการใช้สารเคมีต่าง ๆ ทางการเกษตรจะทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นสาเหตุของโลกร้อน แต่ระบบเกษตรอินทรีย์ปฏิเสธการใช้สารเหล่านี้ จึงทำให้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลง อีกทั้งระบบเกษตรอินทรีย์ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และฟาร์มเกษตรอินทรีย์ยังช่วยตรึงและเก็บกักคาร์บอนในรูปของอินทรียวัตถุบนดินและใต้ดิน รวมทั้งในชีวมวลต่าง ๆ ซึ่งทำให้มีก๊าซเรือนกระจกลดลง
  14. ช่วยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรในด้านค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการซื้อสารเคมีหรือยากำจัดแมลงศัตรูพืช และช่วยลดปริมารการนำเข้าของสารเคมีจากต่างประเทศได้อีกทางหนึ่ง
  15. เกษตรกรที่ผลิตอาหารออแกนิคจะได้รับการประกันราคาผลผลิต ได้ราคาที่ยุติธรรม ทำให้เกษตรมีรายได้มากขึ้น จึงช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมเมื่อเปรียบเทียบกับระบบการเกษตรทั่วไปที่เกษตรกรขายผลผลิตได้ในราคาต่ำ ทำให้ขาดทุนและเป็นหนี้สิน สำหรับผู้บริโภคก็จะได้รับประทานอาหารออแกนิคที่มีความปลอดภัย มีคุณภาพ และราคายุติธรรม

Share on Google Plus

About ddd

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น